INPS Japan
HomeLanguageThaiการขายของบนถนน: ดูเหมือนว่าโควิดได้ฆ่าสัญลักษณ์ของกรุงเทพ

การขายของบนถนน: ดูเหมือนว่าโควิดได้ฆ่าสัญลักษณ์ของกรุงเทพ

โดย ปัทมา วิไลเลิศ

กรุงเทพ (IDN) — ผู้ค้าตามริมถนนได้เป็นดั่งสัญลักษณ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนที่เคยมาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ในแต่ละปีก่อนที่จะเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 มันสมบูรณ์แบบด้วยการใช้ชีวิตของคนไทยอย่างเต็มที่ รวมถึงการรับประทานอาหาร การจับจ่ายใช้สอย พวกผู้ค้าได้ตั้งรถเข็นขึ้นในใจกลางหัวใจของคนไทยและคนกรุงเทพฯ เป็นเวลากว่าศตวรรษที่ให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

การล็อกดาวน์จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ได้ทำลายล้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการดำรงชีวิตของผู้ค้าตามท้องถนน เมื่อเกิดโรคระบาด  นักท่องเที่ยวประมาณ 40 ล้านคนเคยแห่มาเที่ยวเมืองไทยทุกๆ ปี การขายของบนถนนถือเป็นทางเลือกในการดำรงชีวิตสำหรับคนไทยหลายล้านคน นักท่องเที่ยวเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ยังคงมีคำถามอย่างจริงจังว่าการขายของบนท้องถนนแบบดั้งเดิมนั้น สามารถฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตได้หรือไม่?

IDN ได้เดินทางไปตามถนนข้าวสาร สวรรค์ของนักเดินทาง และถนนสุขุมวิท สวรรค์แห่งสถานบันเทิงยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ เพื่อพบกับเหล่าผู้ค้าตามท้องถนนหลังจากที่ประเทศนี้กลับมาเปิดให้นักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งเมื่อ 5 เดือนก่อน

นายแสง เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อปลายปี 2562 ว่า ณ สิ้นปี 2562 รายได้ธุรกิจที่นี่ 80% มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่รุนแรง: ถนนข้าวสารที่เคยคับคั่งตลอด 24 ชั่วโมง ก่อนเกิดการระบาด แผงขายของที่นี้เคยขายได้ 1 ล้านบาท (29,670 USD) แผงลอยเล็กๆ เพียงสองสามแผงสามารถอยู่รอดได้: เจ้าของแผงได้กลับไปยังบ้านเกิดของพวกเขาแล้ว เขากล่าวว่า อาจจะมีหน้าใหม่มาแทนที่ถ้านักท่องเที่ยวเริ่มหลั่งไหลมา

ความเห็นของเรืองวัฒนกุลตรงกับยอดชาย ผู้ขายเกมส์และแก็ดเจ็ตริมถนน ผมเป็นพ่อค้าที่นี้มากว่า 30 ปี ผมตัดสินใจที่จะลงทุน 15,000 บาท ต่อเดือนเพื่อเช่าพื้นที่ขนาดสองเมตรเพื่อตั้งร้านขายของเพราะว่าผมไม่มีเงินเป็นล้านที่จะซื้อแผงลอย ยอดชายบอกกับไอดีเอ็น การลงทุนของเขามันคุ้มค่าจนกระทั่งโควิด -19 ส่งผลกับธุรกิจ เขาทำเงินได้ประมาณ 3,000 บาท (90 USD) ต่อวัน แต่นับตั้งแต่การล็อกดาวน์ครั้งแรกในปี 2020 เขาแทบจะทำให้ทั้งคู่มาบรรจบกันไม่ได้ อย่างไรก็ดี ยอดชายได้เข้าร่วมโครงการมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2563

ตามคำแถลงของกระทรวงการคลังของประเทศไทย โครงการกระตุ้นการชำระเงินร่วม “คนละครึ่ง” มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐให้เงินอุดหนุน 50% ของค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป เงินอุดหนุนทั้งหมดจำกัดอยู่ที่ 150 บาท (4.45 USD) ต่อคนต่อวันตั้งแต่ระยะแรกถึงระยะที่สาม สำหรับระยะที่สี่ ซึ่งได้เริ่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เงินอุดหนุนได้ลดลงเป็น 120 บาท(3.56 USD) ต่อคนต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ยอดชายได้กล่าวว่า “ถึงแม้ผมจะได้เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ผมยังคงต้องใช้เงินเก็บของผมเพื่อจ่ายค่าเช่าห้องและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผมเลยฝากความหวังไว้กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่ถนนข้าวสารในขณะที่ผมอายุ 62 ปี ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอย่างอื่นแล้ว” ตั้งแต่ธันวาคม 2564 เขาเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินไปตามถนนข้าวสารในขณะที่เขาเริ่มทำยอดขายได้ 500 บาท (15.80 USD) ต่อวัน

นอกจากผู้ค้าริมถนนแล้ว แพ็คเกจกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยังครอบคลุมผู้ถือบัตรสวัสดิการของรัฐและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ ผู้เข้าร่วมต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเป๋าตังบนมือถือเพื่อลงทะเบียนสำหรับโปรแกรม จากข้อมูลของ DATAREPORTAL มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 54.5 ล้านคนในประเทศไทยในเดือนมกราคม 2565 คิดเป็น 77.8% ของประชากรทั้งหมด

IDN พบกับนวย ผู้ค้าอาหารบนริมถนนที่อาศัยอยู่ในย่านข้าวสารตั้งแต่เธอเกิด “ก่อนเกิดการแพร่ระบาด นักท่องเที่ยวจากหลายเชื้อชาติมาที่นี่ และฉันทำเงินได้มากกว่า 4,000 บาท (119 USD) ต่อวัน” เธอบอกกับ IDN “แต่ตั้งแต่การล็อกดาวน์ในเดือนมีนาคม 2563 ฉันไม่สามารถขายอาหารได้; ฉันแค่เพียงอยู่บ้านและออกมาเมื่อฉันรู้ว่ามีคนใจดีที่จะแจกอาหารให้กับคนที่กำลังลำบาก

เมื่อเธอมาที่แผงขายของๆ เธอในช่วงการระบาดใหญ่ เธอได้พบกับพ่อค้าแม่ค้ารายอื่นและนักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่สามารถบินกลับบ้านได้และรับอาหารฟรี นวยไม่ได้เข้าร่วมในแพ็คเกจกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ เธอไม่สามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนได้ ดังนั้นเธอจึงใช้ชีวิตโดยเงินออมของเธอและอาหารฟรี เธอได้กลับมาเปิดแผงอีกครั้งในดือนพฤศจิกายน 2564 “ฉันอายุ 60 และอยู่ไปเรื่อยๆ ฉันไม่คิดว่าฉันสามารถเปลี่ยนอนาคตได้มากนัก ” เธอบอกกับ IDN

ในย่านสวรรค์ของสถานบันเทิงยามค่ำคืนของสุขุมวิท นกน้อยวัย 40 ปีได้แบ่งปันเรื่องราวอันน่าทึ่งของเธอกับ IDN “ฉันเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์ในซอย 11 ซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวมา 20 ปีแล้ว และที่น่าแปลกใจก็คือ บาร์ถูกปิดอย่างถาวรเมื่อเดือนที่แล้ว (มีนาคม 2565) ฉันใคร่ครวญว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร จึงตัดสินใจวางรถเข็นใกลักับสถานีรถไฟฟ้าเพื่อขายเครื่องดื่มให้กับผู้ที่ผ่านไปมา”  เธอกล่าว พร้อมชี้ว่าเธอเป็นคนขายของริมถนนเจ้าใหม่และสิ่งต่างอีกมากมายให้เรียนรู้ อย่างเช่นวันไหนที่ห้ามขายสินค้าบนถนน

นกน้อยได้เข้าร่วมแพ็คเกจกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเราชนะ (Roa Chana) ตามที่ระบุไว้ในเว็บไซต์กระทรวงการคลังของไทย เกณฑ์การมีส่วนร่วมรวมถึงระดับรายได้และการออมของประชาชน ตามที่ได้แสดงในบันทึกของรัฐบาล ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุน ซึ่งรวมถึงฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้า และเกษตรกร ด้วยเส้นทางชีวิตใหม่ที่โควิด-19 นำพาเธอมา เธอมีรายได้ประมาณ 600-700 บาท (20 USD)ต่อวันจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย

ริมถนนสุขุมวิท ไม่ไกลจากแผงนกน้อย IDN เจอร้านขายผ้าคลาสสิก สวย ก่อนเกิดโรคระบาด นักท่องเที่ยวหลายพันคนต่างก็ไปที่ตลาดกลางคืนบนทางเท้า 365 วันเพื่อต่อรองและซื้อชุดไทย เสื้อผ้า รองเท้าและกระเป๋าหลากสีสัน นกน้อยมีแผงขายสินค้าบนถนนสุขุมวิทมากกว่า 30 ปี 

” ฉันทำเงินได้กว่า 5,000 บาท (150 USD) ต่อวันก่อนเกิดการระบาด แต่ในช่วงล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง ฉันเพิ่งใช้เงินออมของฉันจนหมดและรอเวลาเปิดร้านใหม่อีกครั้ง” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เศร้า “ฉันกลับมาที่แผงขายของๆฉันทันทีหลังจากที่รัฐบาลเปิดประเทศไทยสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564” เธอมีความเชื่อมั่นว่านักท่องเที่ยวจะกลับมายังสุขุมวิท [IDN-InDepthNews – 20 เมษายน 2022]

รูปถ่าย: นักท่องเที่ยวเพียงหยิบมือในถนนข้าวสารที่รกร้างซึ่งก่อนเกิดการระบาดใหญ่ เต็มไปด้วยแผงขายของริมถนนและนักท่องเที่ยว โดย:  ปัทมา วิไลเลิศ

Most Popular