เนปาลมีสัดส่วนเด็กแรกเกิดเพศชายต่อเพศหญิงสูงที่สุดในเอเชีย เนื่องจากการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศ
เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่คุณอารูนา อูเปรตี ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขขึ้นเครื่องบินจากภูมิภาคโดลโปไปยังเมืองเนปาลกันจ์ เธอได้สนทนากับ หญิงตั้งครรภ์ คนหนึ่งที่เล่าว่าเธอกำลังเดินทางเข้าเมืองเพื่อไปพบแพทย์
ตอนแรกคุณอารูนาหลงดีใจที่ได้รู้ว่าผู้หญิงในชนบทพยายามหาทาง เข้ารับการดูแลก่อนคลอด แต่ก็กลายเป็นตกใจเมื่อผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอมีลูกสาวอยู่แล้วสองคน และจะยุติการตั้งครรภ์ครั้งนี้หากผลอัลตราซาวด์บอกว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง
เมื่อคุณอารูนาไปถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองเนปาลกันจ์ เธอได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้เหล่าพยาบาลฟัง แต่พวกเขาไม่แปลกใจเลย และบอกเธอว่าหญิงตั้งครรภ์จากทั่วทุกมุมของจังหวัดคาร์นาลีเดินทางมาทำอัลตราซาวด์เพื่อให้ ทราบเพศของทารกแล้วตัดสินใจว่าจะทำแท้งหรือไม่
ตัวอย่างเช่นนี้มีจำนวนหลายหมื่นคนทุกปี และเห็นได้ชัดในข้อมูลสำมะโนประชากรปี 2021 ว่าในเนปาลมีเด็กแรกเกิดเพศชายมากกว่า เด็กแรกเกิดเพศหญิง เป็นอย่างมาก ทำให้ประเทศนี้มีสัดส่วนเด็กแรกเกิดเพศชายต่อเพศหญิง (SRB) สูงที่สุดในเอเชีย
ค่า SRB แสดงถึงจำนวนเด็กแรกเกิดเพศชายเทียบกับเด็กแรกเกิดเพศหญิง 100 คน สัดส่วนการคลอดบุตรทั่วโลกโน้มเอียงไปทางทารกเพศชายเล็กน้อย และค่า SRB ตามทฤษฎีหรือการคาดการณ์คือเพศชาย 105 คนต่อเพศหญิง 100 คน ค่าที่สูงขึ้นบ่งบอกถึงจำนวนเด็กแรกเกิดเพศชายที่มากกว่าเพศหญิง
จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2021 ค่า SRB ของเนปาลคือเพศชาย 112 คนต่อเพศหญิง 100 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขเดิมคือ 106 คน ที่บันทึกไว้ในการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2011 เขตธานูซาที่พรมแดนติดกับอินเดียมีค่า SRB สูงสุด (133) ขณะที่เขตมุสตางในเทือกเขาทรานส์หิมาลัยมีเด็กแรกเกิดเพศชาย 92 คนต่อเด็กแรกเกิดเพศหญิง 100 คน จังหวัดมเธศมีค่า SRB สูงสุด (118) ในบรรดาจังหวัดต่าง ๆ ของเนปาล
ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าแนวโน้มนี้อาจนำไปสู่ ความแตกต่างทางประชากรในระยะยาว และกล่าวว่าไม่มีการวิจัยเพียงพอเกี่ยวกับแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลนี้

คุณโยเกนดรา บี กุรุง จากภาควิชาประชากรศึกษาส่วนกลางที่มหาวิทยาลัยตรีภูวานกล่าวว่า “ สัดส่วนเพศ เด็กแรกเกิดที่บิดเบี้ยวของเนปาลเป็นหนึ่งในประเด็นทางประชากรที่น่ากังวลที่สุด”
ปัจจัยที่ส่งผลต่อเรื่องนี้คือการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศ (GBSS) ตลอดจน การเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมกัน รูปแบบอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมและประเพณี แบบชายเป็นใหญ่ของเนปาล
การเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศเป็นตัวกำหนดผลของการตั้งครรภ์ และอาจเกิดขึ้นทั้งช่วงหลังคลอดหรือก่อนคลอด การเลือกเพศหลังคลอดอาจเกิดจากการละเลย ความแตกต่างใน โภชนาการของมารดา และการดูแลเด็ก หรือการฆ่าทารกที่เป็นเพศหญิง
การเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศก่อนคลอดจะเกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างการตั้งครรภ์ โดยการเลือกเพศลูกระหว่าง การปฏิสนธิ หรือการยุติการตั้งครรภ์เมื่อทราบเพศของทารกในครรภ์แล้ว การเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศทั่วโลกเป็นผลมาจากการอยากมีลูกชายมากกว่าลูกสาว
ผลการสำรวจสำมะโนประชากรพิสูจน์ว่า ชาวเนปาลมีการเลือกเพศเด็กแรกเกิดมากขึ้น ส่งผลให้มีการทำแท้งเมื่อทราบเพศมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีการวินิจฉัยก่อนคลอดเพื่อให้ทราบเพศของทารก แม้ว่ากฎหมายห้ามมิให้คลินิกต่าง ๆ เปิดเผยเพศของทารกก็ตาม
คุณอเพกชยา รานา คาตรี จากกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ในกาฐมาณฑุอธิบายว่า “มีปัจจัยสามประการที่ทำให้เกิดการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศ ได้แก่ บรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรมของเรา การอยากมีลูกชายมากกว่าลูกสาวและ ความพร้อมของเทคโนโลยี ที่ทำให้ทราบเพศของทารกในครรภ์” “เราวิเคราะห์ แนวโน้มทางสังคมและประชากรและพบว่าเนปาลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศกันมากจากปัจจัยทั้งสามประการนี้”
ครอบครัวชาวเนปาลจำนวนมากอยากมีลูกชายเพราะพวกเขายังคงคาดหวังให้ลูกชายสืบเชื้อสายของตระกูล มอบประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ครอบครัวและมีบทบาทในสังคมอย่างแข็งขัน ตลอดจนดูแลพ่อแม่ ในวัยชราทำ พิธีศพ และได้รับมรดก
เนปาลไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีปัญหาเรื่องสัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดไม่สมดุล สัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงอินเดียและจีน สะท้อนถึงบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมากกว่า
ค่า SRB ในอินเดีย (108) ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยทางวัฒนธรรม ขณะที่ในจีนนั้น (112) เป็นผลสืบทอดของนโยบายลูกคนเดียวก่อนหน้านี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความไม่สมดุลดังกล่าวเริ่มดีขึ้นในทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ในเนปาลกลับตรงกันข้าม กล่าวคือค่า SRB เพิ่มขึ้นจาก 104 ในปี 2001 เป็น 106 ในปี 2011 และเพิ่มเป็น 112 ในปี 2021

นอกจากนี้ การสำรวจสำมะโนประชากรปี 2021 ยังแสดงให้เห็นว่าค่า SRB ในเขตเทศบาลเมืองของเนปาลอยู่ที่ 114 ซึ่งสูงกว่าในเขตเทศบาลชนบท (109) เรื่องนี้ขัดแย้งกับความเชื่อที่ว่า การเลือกปฏิบัติต่อเด็กผู้หญิง ในหมู่ผู้มีการศึกษาและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นน้อยกว่า ในชนบท
นอกจากนี้ การเข้าถึงสถาบันดูแลสุขภาพ ที่ดีขึ้นยังอาจทำให้ค่า SRB ในเมืองสูงกว่าในชนบท ในกรณีของจังหวัดมเธศ การเข้าถึงการทำแท้งทั้งแบบที่ถูกกฎหมายและแบบที่ไม่ปลอดภัยตามแนวพรมแดนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่า SRB สูง
คุณโยเกนดรา บี กุรุง ผู้เป็นนักประชากรศาสตร์กล่าวว่า “ค่า SRB ของเนปาลแสดงให้เห็นถึง วัฒนธรรมแบบชายเป็นใหญ่ที่ฝังลึกในประเทศของเรา” “และยังทลายความเข้าใจผิดที่ว่ากรอบความคิดแบบจารีตและ แนวคิดอนุรักษนิยม ตลอดจน การเลือกปฏิบัติ นั้น มีเฉพาะใน ชุมชนชนบทเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าคนที่มีการศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจดีคือผู้ที่ทำการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศ
ในอดีต สังคมเกษตรกรรม อย่างเนปาลชอบการมีลูกชายจำนวนมากเพราะคิดว่าผู้ชายเหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้แรงมากกว่า แต่ปัจจุบันชาวเนปาลจำนวนมากหวังว่าจะมีลูกชายเพื่อให้พวกเขาสามารถ ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ หาเลี้ยงชีพ และส่งรายได้มาจุนเจือครอบครัว
คุณอารูนา อูเปรตี กล่าวว่า “แม้ว่าระบบการเมือง กฎหมาย และสังคมที่พัฒนาขึ้นทำให้ผู้หญิงมีสิทธิในการศึกษาและสิทธิรับมรดกมากขึ้น และสามารถมีส่วนร่วมในการทำงาน แต่การนำมาตรการต่าง ๆ ไปปฏิบัติจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” “วิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะ วิถีปฏิบัติทางศาสนา ของเรา ยังคงเอื้อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างต่อเนื่อง”
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจาก สถานพยาบาลและสถานดูแลสุขภาพต่าง ๆ
คุณวอน ยัง ฮง ผู้แทนประเทศเนปาลใน UNFPA กล่าวว่า “แม้ว่าเราสามารถระบุปัญหาที่ส่งผลให้เกิดการเลือกเพศลูก แต่เราก็ต้องใช้สมมติฐานเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่มีข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการทำแท้งเมื่อทราบเพศลูกผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นทางการและไม่ปลอดภัย” “เราจำเป็นต้องได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจาก โรงพยาบาล คลินิก และผู้ให้บริการอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อให้เราสามารถทำการวิจัยที่ครอบคลุมมากขึ้น”

การระบุเพศลูก การเลือกเพศลูก และการทำแท้งเมื่อทราบเพศลูกยังมีอีกมิติหนึ่ง กล่าวคือ การยุติการตั้งครรภ์ อาจไม่ใช่สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์เลือกเองเสมอไป หากพวกเขาพบว่าทารกในครรภ์เป็นเพศหญิง การศึกษาระดับท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่าสามีและแม่ยายมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับการระบุเพศลูกก่อนคลอด
นอกจากนี้ อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมที่ลดลงของเนปาลยังส่งผลต่อสัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดที่บิดเบี้ยวอีกด้วย เมื่อสองทศวรรษที่แล้ว อัตราการเจริญพันธุ์โดยรวมของเนปาลอยู่ที่ 4.6 แต่ปัจจุบันชาวเนปาลผู้เป็นแม่ให้กำเนิดลูกเพียง 2.1 คนโดยเฉลี่ย ซึ่งอยู่ในระดับที่รักษาจำนวนประชากร ไม่เพิ่มไม่ลด และเนื่องจากชาวเนปาลมีลูกน้อยลง โดยเฉพาะถ้าพวกเขาวางแผนที่จะมีลูกเพียงคนเดียว พวกเขาจึงต้องหาทางให้ตนมีลูกชาย
การศึกษาของศูนย์วิจัยด้านกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และประชากร (CREHPA) แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ผู้เป็นพ่อและแม่จะไม่เลือกเพศของลูกในการคลอดลูกคนแรก แต่หากลูกคนแรกเป็นเพศหญิงก็จะทำให้อยากมีลูกคนที่สองเป็นเพศชาย และความต้องการนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับลูกคนต่อ ๆ ไป
แม้ว่าสัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดในเนปาลจะโน้มเอียงไปทางเด็กผู้ชาย แต่เนปาลกลับมีประชากรเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากความแตกต่างในการใช้ชีวิตทำให้ผู้ชายมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าผู้หญิง การสำรวจสำมะโนประชากรปี 2021 แสดงให้เห็นว่าสัดส่วนเพศในเนปาลคือผู้ชาย 95.6 คน ต่อผู้หญิง 100 คน

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิงในช่วงอายุ 0-19 ปีกลับเพิ่มขึ้นจาก 102 คนในปี 2011 เป็น 107 คนในปี 2021 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสัดส่วนเด็กแรกเกิดเพศชายต่อเพศหญิงที่สูงขึ้น ในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า จำนวนผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 19 ปีจะลดลง
คุณโยเกนดรา บี กุรุง กล่าวว่า จำนวนผู้ชายอายุต่ำกว่า 20 ปีที่สูงขึ้นยังพิสูจน์ให้เห็นว่าการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศนั้นเกิดขึ้นในเนปาลเป็นเวลาอย่างน้อยสามทศวรรษแล้ว
“สัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดของเนปาลอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรระดับที่ใหญ่ขึ้นในระยะยาว ซึ่งจะทำให้ประชากรชายมีจำนวนมากกว่าประชากรหญิงเป็นอย่างมาก”
เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ การครองคู่ระหว่างชายกับหญิงและพลวัตการแต่งงาน แรงงาน และโครงสร้างทางสังคมที่เป็นอยู่ของเนปาลโดยรวม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สภาพประชากรที่โน้มเอียงไปทางผู้ชายอย่างมีนัยสำคัญอาจทำให้ผู้หญิงและเด็กหญิงเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด การใช้ประโยชน์ทางเพศและการทำร้ายทางเพศ ตลอดจนการค้ามนุษย์ การบังคับแต่งงาน และอาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ
นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าการแจ้งเกิดบุตรทันทีหลังคลอดไม่ใช่เรื่องที่ทำกันทั่วไปในเนปาล และคู่รักบางคู่แจ้งเกิดเฉพาะลูกชาย แต่ไม่แจ้งเกิดลูกสาว ซึ่งอาจส่งผลให้มีการบันทึกจำนวนเด็กแรกเกิดเพศหญิงน้อยลง
บรรทัดฐานและวิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะมีกฎหมาย และเนปาลต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเปลี่ยนค่านิยมทางสังคม ปกป้อง และให้ความรู้แก่ผู้หญิงและเด็กหญิง ตัวอย่างเช่น UNFPA ในปี 2021 สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขและประชากรของเนปาลในการร่างยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกเพื่อจัดการกับการเลือกเพศโดยใช้อคติทางเพศ และมีการดำเนินการแล้ว

นอกจากนี้ โครงการรูปะรันทันของกระทรวงสาธารณสุขและประชากรยังช่วยให้เด็กหญิงวัยรุ่นมีทักษะและความรู้เชิงปฏิบัติเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการตัดสินใจ
แต่รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายใหม่ ๆ และความตั้งใจทางการเมืองในการดำเนินการ เพื่อให้งานเหล่านี้ได้ผล ทั้งยังต้องมีกลไกกำกับดูแลที่เข้มงวดเพื่อตรวจสอบการใช้เทคโนโลยีบอกเพศก่อนคลอดอีกด้วย
นอกจากนี้ เนปาลยังต้องมีระบบรับประกันความปลอดภัยและความมั่นคงของประชากรสูงวัย เพื่อลดแรงกดดันทางการเงินและทางสังคมวัฒนธรรมต่อลูกชายในการดูแลครอบครัว และลดแรงจูงใจในการที่พ่อแม่อยากจะมีลูกชาย
คุณวอน ยัง ฮง จาก UNFPA กล่าวว่า “รัฐจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะให้บริการอย่างเพียงพอสำหรับประชากรผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเมื่อคาดการณ์ว่าประชากรผู้สูงอายุจะมีจำนวนมากขึ้น”
อินเดียมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าเนปาลเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีวินิจฉัยก่อนคลอดเพื่อบอกเพศของทารก ตลอดจนการรณรงค์อย่างเข้มแข็งในระดับรัฐและระดับชาติ เช่น โครงการเบติ บาเชา เบติ ปาเทา ที่ช่วยแก้ปัญหาเด็กแรกเกิดเพศหญิงลดลงในอินเดีย

ส่วนเนปาลยังต้องจัดการกับแรงขับเคลื่อนที่ทำให้สัดส่วนเพศเด็กแรกเกิดบิดเบี้ยว ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้อง สิทธิการสืบพันธุ์ของผู้หญิง และสิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัย
การเข้าถึงบริการเหล่านี้มีส่วนช่วยลด อัตราการตายของมารดาอย่างมีนัยสำคัญ การทำแท้งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ สำหรับ ผู้รอดชีวิตจากการทำร้ายทางเพศ สำหรับ การวางแผนครอบครัว และช่วยให้แน่ใจว่าผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกสิ่งที่จะทำกับร่างกายของตนเอง
คุณอารูนา อูเปรตี กล่าวว่า “การทำแท้งอย่างปลอดภัยเป็นสิทธิ แม้จะตัดการเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัยก็ไม่สามารถลดการเลือกเพศลูกโดยใช้อคติทางเพศได้” “ความถูกต้องตามกฎหมายไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน ผู้หญิงมากมายไปทำแท้งในสถานประกอบการเอกชนทั่วประเทศเนปาลและอินเดีย แม้ว่าจะยังไม่ถูกกฎหมาย”
สิ่งที่จำเป็นคือแนวทางแบบหลายภาคส่วนที่จัดการกับบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ การให้อำนาจแก่ผู้หญิงในสิ่งที่พวกเขาต้องได้รับ และเชื่อมโยงเข้ากับงาน ตลอดจนนโยบายที่ส่งเสริมผู้หญิงและเด็กหญิง มอบ โอกาสให้พวกเขา
คุณอารูนา อูเปรตี กล่าวเสริมว่า “มาตรการทางสังคมวัฒนธรรมมีความสำคัญพอ ๆ กับมาตรการทางกฎหมายและนโยบาย และเราไม่สามารถจัดการกับความอยากมีลูกชายของคนในสังคมได้จนกว่าจะมองวิถีปฏิบัติทางวัฒนธรรมแบบชายเป็นใหญ่ของเราในเชิงวิพากษ์ การเลือกปฏิบัติทางเพศ เป็นปัญหาที่เชื่อมโยงหลายด้าน”
บทความนี้นำเสนอโดย Nepali Times โดยความร่วมมือกับ INPS Japan และ Soka Gakkai International ในสถานะที่ปรึกษาของ UN ECOSOC