INPS Japan
HomeLanguageThaiการกลับมาพัฒนาการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดเป็นสิ่งสำคัญต่อการคุ้มครองเด็ก

การกลับมาพัฒนาการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดเป็นสิ่งสำคัญต่อการคุ้มครองเด็ก

ซิดนีย์ (IPS) — การจดทะเบียนเด็กแรกเกิดซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาในหลายประเทศ มีผลกระทบต่อสุขภาพ การคุ้มครอง และสวัสดิภาพของเด็กอย่างลึกซึ้งตลอดชีวิต แม้ว่าในตอนต้นของศตวรรษนี้มีการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา อัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดทั่วโลกกลับลดลง โดยบางประเทศในภูมิภาคแปซิฟิกและแอฟริกาแถบใต้ทะเลทรายสะฮาราต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ การแก้ไขแนวโน้มเช่นนี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีการจดทะเบียนใหม่ ๆ การเพิ่มเจตจำนงทางการเมือง และการเพิ่มความเข้าใจของผู้ปกครองเกี่ยวกับความสำคัญของการจดทะเบียนเด็กแรกเกิด

กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) รายงานว่าปัจจุบันมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีประมาณร้อยละ 75 ที่ได้รับการจดทะเบียน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 เมื่อปี ค.ศ. 2000

แต่คุณบาสการ์ มิชรา ผู้เชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองเด็กประจำสำนักงานใหญ่ของ UNICEF ในนิวยอร์กบอกกับ IPS ว่าในช่วงไม่นานมานี้ การจดทะเบียนเด็กแรกเกิดมีการชะลอตัวเนื่องจากความท้าทายอย่างต่อเนื่อง

“การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคแอฟริกาแถบใต้ทะเลทรายสะฮาราทำให้ระบบจดทะเบียนตามไม่ทัน โครงสร้างพื้นฐานที่อ่อนแอ เงินทุนที่จำกัด และการไม่ได้รับความสำคัญทางการเมืองก็มีส่วนทำให้เกิดการชะลอตัวเช่นกัน นอกจากนี้ ครอบครัวทั้งหลายมักเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมที่สูง ขั้นตอนที่ซับซ้อน และการเข้าถึงที่จำกัด” คุณบาสการ์ มิชรา กล่าว

อุปสรรคเหล่านี้บางส่วนมีอยู่ในแอฟริกาตะวันออก ซึ่งอัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดอยู่ที่ร้อยละ 41 และในหมู่เกาะแปซิฟิกซึ่งอัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดอยู่ที่ร้อยละ 26 ขณะที่ในระดับประเทศ อัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดแตกต่างกันไป เช่น ร้อยละ 29 ในแทนซาเนีย ร้อยละ 13 ในปาปัวนิวกินี และร้อยละ 3 ในโซมาเลียและเอธิโอเปีย ในจำนวนเด็กอายุต่ำกว่าห้าปีที่มีประมาณ 654 ล้านคนในโลก มี 166 ล้านคนที่ไม่ได้จดทะเบียน และ 237 ล้านคนที่ไม่มีสูติบัตร

“อุปสรรคทางระบบและสังคม ซึ่งรุนแรงขึ้นจากผลกระทบที่ยาวนานของโรคโควิด 19 ได้หักลบความสำเร็จที่ทำได้ในช่วงหลายปีก่อนหน้า ทำให้ต้องเร่งความเร็วในการพัฒนาอีกห้าเท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดถ้วนหน้าภายในปี ค.ศ. 2030” คุณบาสการ์ มิชรา กล่าว

ประเทศหนึ่งที่พยายามสู้กับความท้าทายนี้คือปาปัวนิวกินี (PNG) ซึ่งเป็นประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกที่มีประชากรมากที่สุด โดยมีประชากรประมาณ 11 ล้านคน และประกอบด้วยหมู่เกาะห่างไกลตลอดจนเทือกเขามหึมาบนผืนเกาะหลัก ผู้คนจึงต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตประจำวัน ทั้งจากภูมิประเทศที่กันดาร การขาดแคลนถนน และการขนส่งที่ไม่อาจพึ่งพาได้

ผู้คนมากกว่าร้อยละ 80 อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และในจังหวัดมะดังทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ สมาคมสตรีของปาปัวนิวกินีได้พยายามเพิ่มความตระหนักเรื่องการเป็นแม่และสุขภาพในสตรีมีครรภ์

“บางคนไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ห่างไกลมากและใช้เวลาหลายชั่วโมงในการไปยังสถานพยาบาล ดังนั้นการคลอดบุตรทั้งหมดจึงทำในหมู่บ้าน แต่สถานพยาบาลในบางชุมชนกำลังเสื่อมสภาพ ไม่มีการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และไม่มีพนักงานดูแลสุขภาพพร้อมให้บริการ จึงเป็นปัญหาที่ท้าทายที่สุด” คุณทาบิทา วากา จากสมาคมสตรีสาขามะดังกล่าวกับ IPS

สำหรับผู้เป็นแม่ การจดทะเบียนเด็กแรกเกิดให้ลูกอาจทำให้ต้องเดินทางไกลด้วยรถบัสชุมชนไปตามทางลูกรังหรือถนนที่ไม่ได้ลาดยางเพื่อไปยังสำนักงานจดทะเบียน ทั้งยังต้องเสียค่าโดยสาร

“การขาดข้อมูลเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่ง ผู้เป็นแม่ในชนบทเหล่านี้ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในเรื่องนี้ และไม่ทราบความสำคัญของการจดทะเบียนเด็กแรกเกิด และในบางชุมชนมีประเพณีและขนบธรรมเนียมที่บังคับให้ผู้เป็นแม่คลอดบุตรในหมู่บ้านเท่านั้น” คุณทาบิทา วากะ กล่าวต่อ รัฐบาลระบุว่าในปาปัวนิวกินีมีการคลอดบุตรที่สถานพยาบาลในสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งเล็กน้อย

แต่ประเทศได้ก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญและตั้งแต่ปี ค.ศ. 2023 ถึง 2024 มีการแจกจ่ายสูติบัตรเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจาก 26,000 ฉบับเพิ่มเป็น 78,000 ฉบับ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา UNICEF ได้มอบอุปกรณ์จดทะเบียนแบบมือถือ 44 ชิ้นให้แก่รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ภาคสนามได้เริ่มภารกิจออกหน่วยครั้งใหญ่เพื่อบันทึกการเกิดในชุมชนท้องถิ่น

จากนั้นในเดือนธันวาคม รัฐสภาปาปัวนิวกินีได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่เพื่อพัฒนาทะเบียนพลเรือนและข้อมูลประจำตัวแห่งชาติ เจมส์ มาราเป นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินีกล่าวกับสื่อมวลชนเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่า “รัฐบาลที่นำโดยพรรคปังกูเป็นรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบ โดยมีนโยบายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรวมคนทุกกลุ่มทั่วประเทศ… ข้อมูลประจำตัวที่แม่นยำและเชื่อถือได้เกี่ยวกับประชาชนของเรามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและเป็นไปเพื่อสวัสดิภาพทางสังคมของประชาชน”

ตอนนี้มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมแล้ว แต่เป้าหมายของรัฐบาลในการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดมากถึงห้าแสนคนทุกปี “ต้องอาศัยการขยายเทคโนโลยี ต้องมีการนำชุดอุปกรณ์เหล่านี้ไปใช้ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล และกระจายอำนาจในการออกสูติบัตร” คุณพอลลา วาร์กัส หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็กของ UNICEF ในปาปัวนิวกินีกล่าวกับ IPS “มีจุดติดขัดหลายจุดในกระบวนการนี้ ตัวอย่างเช่น มีเพียงคนเดียวในปาปัวนิวกินีที่ได้รับอนุญาตให้ลงนามสูติบัตรด้วยตนเอง”

ในอีกด้านหนึ่งของโลก เด็กที่ไม่ได้จดทะเบียนมากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในแอฟริกาแถบใต้ทะเลทรายสะฮารา และเอธิโอเปียก็เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน

เอธิโอเปียตั้งอยู่บนจะงอยแอฟริกา มีขนาดใหญ่กว่าปาปัวนิวกินีมากกว่าสองเท่า และมีอัตราการเกิดสูงถึง 32 คนต่อ 1,000 คน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 16 คน ผู้คนส่วนใหญ่ของเอธิโอเปียจำนวนมากกว่า 119 ล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่อันกว้างขวางและห่างไกลเช่นกัน

ถึงแม้การจดทะเบียนเด็กแรกเกิดนั้นฟรี และรัฐบาลกำลังฝึกอบรมพนักงานส่งเสริมการดูแลสุขภาพ แต่ความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทก็ยังคงอยู่ บรรดาพ่อแม่ในชนบทต้องเดินทางหลายครั้งซึ่งทั้งไกลและเสียค่าใช้จ่ายเพื่อจดทะเบียนเด็กแรกเกิดให้เสร็จ จึงเป็นภาระที่ขัดขวางความก้าวหน้า  อัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดในชนบทของเขตเซาท์เทิร์นเนชันส์ เนชันแนลลิตีส์ แอนด์ พีเพิลส์ รีเจียน (SNNP) คือร้อยละ 3 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของประเทศ ในขณะที่เมืองหลวงอาดดิสอาบาบามีอัตราการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดอยู่ที่ร้อยละ 24

ดร. ทาริคู นิกาตู ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขที่มหาวิทยาลัยกอนดาร์ของเอธิโอเปีย กล่าวกับ IPS ว่าการปรับปรุงสามารถทำได้โดย “การรวมบริการจดทะเบียนเข้ากับระบบสุขภาพ [เพิ่ม] ความพร้อมของทรัพยากรเพื่อสนับสนุนมาตรการต่าง ๆ ในการพัฒนาการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรายงานเด็กแรกเกิดแบบเรียลไทม์หรือเกือบเรียลไทม์”

นอกจากนี้ UNICEF ยังช่วยเหลือเอธิโอเปียในการแจกจ่ายชุดจดทะเบียนแบบมือถือให้แก่พนักงานดูแลสุขภาพในชุมชนห่างไกล รวมถึงผู้ที่เผชิญกับความไม่มั่นคง “ทำให้มั่นใจว่าเด็กที่เกิดระหว่างเหตุฉุกเฉินหรือในขณะพลัดถิ่นจะไม่ตกสำรวจจากการระบุตัวตนและการคุ้มครองทางกฎหมาย” คุณบาสการ์ มิชรา กล่าว ปัจจุบันวิกฤตด้านมนุษยธรรมและความไม่มั่นคงกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในภูมิภาค ทิเกรย์ทางตอนเหนือ หลังเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างปี ค.ศ. 2020-2022

ดร. ทาริคู นิกาตู เน้นย้ำว่าต้องมีการแก้ไขเรื่องการขาดความเข้าใจและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดด้วย

“ในบางชุมชนมีตำนานว่าการนับเด็กแรกเกิดเป็น ‘บุคคล’ ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจนำโชคไม่ดีมาสู่เด็กแรกเกิด พวกเขาไม่คิดว่าเด็กนั้นคุ้มค่าที่จะนับก่อนที่ผู้คนจะรู้ว่าเด็กคนนั้นรอดชีวิตในช่วงวัยแรกเกิด” เขากล่าว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเอธิโอเปียมีอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดที่สูง คือ 30 คนต่อเด็กแรกเกิดทุก ๆ 1,000 คน โดยประมาณครึ่งหนึ่งเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ดร. ทาริคู นิกาตู อธิบาย

นอกจากนี้ การสื่อสารยังต้องขับเน้นว่าการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดมีความสำคัญต่อเด็กตลอดชีวิตอย่างไร เด็กหลายล้านคนที่ตกสำรวจและไม่มีหลักฐานแสดงการดำรงอยู่อย่างเป็นทางการนั้นมีความเสี่ยงสูงและขาดโอกาสต่าง ๆ ในฐานะมนุษย์ หากมีหลักฐานดังกล่าว พวกเขาจะมีแรงสู้มากขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากความยากจน ต่อต้านการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ การล่วงละเมิด แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ ตลอดจนเข้าถึงการคุ้มครองทางกฎหมาย สิทธิออกเสียง รวมถึงการจ้างงานอย่างเป็นทางการ และการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

แต่การจดทะเบียนเด็กแรกเกิดนั้นเป็นเพียงขั้นตอนแรกสำหรับการคุ้มครองและสวัสดิภาพของพวกเขา

“มันจะมีผลก็ต่อเมื่อได้รับการสนับสนุนจากระบบและบริการที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงการเชื่อมโยงการจดทะเบียนเด็กแรกเกิดเข้ากับบริการต่าง ๆ เช่น การฉีดวัคซีน การคลอดในโรงพยาบาล และการเข้าโรงเรียน” คุณบาสการ์ มิชรา กล่าว

ในบริบทที่กว้างขึ้น การมีข้อมูลการเกิดและประชากรที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับรัฐบาลในการวางแผนบริการสาธารณะและการพัฒนาประเทศ ทั้งยังมีความสำคัญเท่าเทียมกันในการประเมินความคืบหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

บทความนี้นำเสนอโดย IPS Noram ร่วมกับ INPS Japan และ Soka Gakkai International ในฐานะที่ปรึกษาของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (ECOSOC)

รายงานจากสำนักงานข่าว INPS Japan/IPS UN

Most Popular